เมื่อใช้ชีวิตและทำงานไปถึงจุดหนึ่งเรามักชน 'กำแพง' บางอย่าง บางครั้งก็เกิดความรู้สึกตันกับตัวเอง สร้างสรรค์สิ่งใหม่ไม่ค่อยออก เป็นสัญญาณว่าได้เวลาสะสม 'ของ' เพิ่ม แต่ 'กำแพง' อีกอย่างจะไปเจอโดยไม่ตั้งใจ นั่นคือชนเข้ากับสิ่งที่เราไม่คุ้นชิน เช่น คำท้วงติง ตักเตือน วิพากษ์วิจารณ์ หรือการชี้ให้เห็น 'อีกด้าน' ที่เราหลงลืมไป หรือโลกฝั่งที่เราไม่รู้จักหรือเมินเฉยกับมันมาตลอด
ทั้งสองอย่างแสดงให้เห็น 'ขอบ' ของเส้นรอบวงของเรา
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่ามันมีอยู่จริง ขนาดคนเก่งๆ ฉลาดๆ ก็ยังมี 'ขอบ' ที่ว่านี้ด้วยกันทุกคน เพราะมนุษย์มีการรับรู้ที่มีข้อจำกัด แต่ละคนโตมาไม่เหมือนกัน เรียนมาคนละแบบ เข้าใจโลกคนละอย่าง ประสบการณ์ล้วนแล้วแต่หล่อหลอมให้เรามองโลกบางแบบบางมุมเท่านั้นเอง
แรกๆ เราอาจเจอคนชอบอะไรคล้ายกัน ทำงานไปก็อาจมีคนชื่นชอบสิ่งที่เราทำ แต่เมื่อเส้นรอบวงของเราขยายออกไปมันจะไปแตะเจอคนที่ไม่ได้คิดเหมือนกัน ชอบคนละอย่าง เห็นโลกคนละแบบ
นาทีนั้นบางทีก็เหมือนชนกำแพง ซึ่งเจ็บ, แต่ดี
เพราะตอนที่เจ็บเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เราได้รู้ว่า 'ขอบ' ของตัวเองอยู่ที่ไหน ที่แท้เรารู้แค่นี้ ที่แท้เรายังคับแคบ ที่แท้เรามองข้ามอะไรไปหลายอย่าง ที่แท้เรายังบอดเรื่องนี้ ที่แท้เราต้องพัฒนาจุดนี้อีกมาก
ชนกำแพงจึงจะเห็นกำแพง
หากมองว่าตัวเองมีข้อจำกัด เราจะใช้เวลาทบทวนและสั่งสมความรู้ความเข้าใจเพื่อขยายขอบของตัวเองออกไปให้กว้างกว่าเดิม ก้าวออกไปนอกตัวตนเดิม ยอมรับความอ่อนด้อย โง่ ห่วย คับแคบของตัวเอง แล้วเป็นคนที่รับรู้โลกนอกเส้นรอบวงเดิมๆ ของตัวเอง ซึ่งบ่อยครั้งก็เกิดจากคำตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์อันแสนมีประโยชน์นี่เอง
ช่วงชนกำแพงเป็นเวลาแห่งการขยายขอบออกไปให้กว้างกว่าเดิม
เช่นนี้แล้ว เสียงตำหนิติเตียนในแง่หนึ่งเป็นเสียงจากกัลยาณมิตรที่จะทำให้เราไม่หลงผิดคิดว่าเราดีที่สุด เก่งที่สุด สมบูรณ์แบบ ไร้ตำหนิ แต่เรายังมีอะไรให้ต้องเรียนรู้อีกมาก
ท่ามกลางโลกที่หลากหลาย เสียงที่ต่างไปจากที่เราเคยเข้าใจนี่เองที่จะช่วยทำให้เราเป็นคนที่เติบโตและกลมขึ้น
...
มีโอกาสได้อ่านสเตตัสของอุ้ง Kamonnart Ong ที่เขียนสะท้อนวงสนทนาซึ่งพี่โจน จันใดเปิดโอกาสให้กัลยาณมิตรได้วิจารณ์เขา ประทับใจทั้งสิ่งที่อุ้งเขียนรวมถึงคอมเมนต์จากพี่อวยพร เขื่อนแก้ว ที่บอกว่า (ขออนุญาตตัดมาบางส่วนครับ)
"ในฐานะที่เป็นเพื่อนเป็นลูกศิษย์เป็นน้อง เป็นคนใกล้ชิดสิ่งที่เราต้องทำกับคนที่เรารักนับถือศรัทธาและเขาเป็นคนสาธารณะที่มีอิทธิพลต่อสังคมคือการทักท้วง ตักเตือนหรืออาจจะถึงขั้นแนะนำหากวิธีคิดหรือความคิดเห็นของเขามันไม่รอบด้านและมันอาจจะสร้างปัญหาหรือไปมีอิทธิพลกับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ที่ทั้งเชื่อถือและไว้วางใจและมีศรัทธาในตัวเขา"
"พี่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ตอนที่ต้องท้าทาย แนะนำ และตักเตือนอาจารย์สุลักษณ์ หลวงแม่ธัมมนันทาและอาจารย์ไพศาลในเรื่องที่ท่านทำ เขียน หรือพูด เพราะมันส่งผลกับชุมชนและสังคม และอาจารย์ทั้ง 3 ก็ตอบรับอย่างดีเยี่ยม เหมือนโจนนี่แหละ นี้มันยิ่งทำให้เรามีความเคารพ ความมั่นใจ เชื่อใจและไว้วางใจเขามากขึ้นไปอีก และสามารถจะทักท้วงกันได้ต่อไปเรื่อยๆ นี่คือหน้าที่ของมิตรแท้ และเป็นการกระทำที่ช่วยให้เราหลุดออกจากความกลัวและอาการเฉยชาที่เป็นผลมาจากวัฒนธรรมครอบงำ อำนาจนิยม และชายเป็นใหญ่"
...
ในแง่หนึ่ง การอยู่ในสังคมที่แวดล้อมไปด้วยคนที่เหมือนเรา ไม่เหมือนเรา ชอบเรา ไม่ชอบเรา จะว่าไปแล้วความชอบ-ไม่ชอบยังเป็นเรื่องรอง แต่คุณูปการของผู้คนที่เห็นต่างไปจากเรานั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้เราได้เห็น 'ขอบ' หรือ 'ข้อจำกัด' ของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องดีต่อการปรับปรุงพัฒนา
และถ้ามองเช่นนี้ได้ เสียงวิจารณ์หรือติเตียนก็เป็นเสียงของกัลยาณมิตรที่คาดหวังว่าเราสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่ออุดรูโหว่นี้ได้ หากพลาดไปก็ไม่ทำอีกในอนาคต เพียงเปิดใจกว้างๆ นี่อาจเป็นโอกาสดีในการก้าวไปสู่ตัวตนที่มีมิติที่ครบถ้วนมากขึ้น
หากยอมรับว่าเราก็เป็นคนธรรมดาตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่ได้รู้อะไรทุกอย่าง ไม่ได้มองเห็นทุกแง่มุม จึงจำเป็นต้องถูกสะกิด เขกกะโหลก จากเพื่อนในสังคมบ้าง แน่นอนว่ามันเจ็บ แต่ก็เพื่อวันพรุ่งนี้ที่สมบูรณ์กว่าเดิม
การเปิดกว้างต่อคำวิจารณ์เพื่อนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงน่าจะส่งผลดีต่อการขยายขอบข้อจำกัดของตนเอง การนับเสียงตักเตือนที่สมเหตุสมผลเป็นเสียงของกัลยาณมิตรย่อมทำให้เสียงเหล่านั้นกลายเป็นกระจกสะท้อนความจริงของเรา แม้เป็นความจริงที่เราไม่อยากมองมันเต็มๆ ตา แต่ความจริงประเภทนี้เองที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะ ความคิด รวมถึงจิตวิญญาณ
โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าทุกคนล้วนมี 'ขอบ' และวันหนึ่งก็จะเดินไปเจอขอบนั้น เมื่อเจอแล้วก็ใช่ว่าจะหมด แต่จะเจออีกในอนาคต ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งก็เป็นทางเลือกว่าเราจะปิดตัวเองอยู่ในเส้นรอบวงเดิมของเราหรือจะก้าวออกไปสู่สิ่งที่กว้างกว่าเดิม
'ขอบ' ทำให้เห็นว่าเราตัวเล็กกว่าที่คิด อัตตาหดลง ซึ่งถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นพร้อมใจที่เปิดกว้าง เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากมาย
เราในวันพรุ่งนี้ไม่จำเป็นต้องเหมือนเราในวันนี้
สิ่งที่มิตรวิพากษ์วิจารณ์เราในวันนี้สามารถดีขึ้นได้ในวันข้างหน้า
ในแง่นี้แล้วอาจต้องขอบคุณเสียงเตือนจากกัลยาณมิตรด้วยซ้ำที่ทำให้เราเห็นขอบของตัวเอง
เพื่อก้าวออกไป...เป็นเราที่สมบูรณ์กว่าเดิม
ไม่สมบูรณ์แบบหรอก แต่มีมิติที่ครบถ้วนขึ้นอีกนิด,
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของกระบวนการเติบโต